ความเห็นเรื่องของ AR

จากงาน Apple ที่เพิ่งผ่านมา มีการโชว์เกม AR ที่ใช้ ARKit + A11 ใหม่ด้วย ซึ่งทำให้เกิดความเห็นเกี่ยวกับปัญหาของเกม AR ที่เราต้องแก้ต่อไป

ความเห็นเรื่องของ AR

จากงาน Apple ที่เพิ่งผ่านมา มีการโชว์เกม AR ที่ใช้ ARKit + A11 ใหม่ด้วย ซึ่งทำให้เกิดความเห็นเกี่ยวกับปัญหาของเกม AR ที่เราต้องแก้ต่อไป

ยังคงเน้น technological achievement มากกว่า experience

ก่อนอื่นเลยตัวเกมมันดูโง่ๆ หมายถึง ด้วยความที่ AR คือการต้องรวมโลกจริงไปด้วย เอฟเฟคระเบิด ตัวละคร หรือที่สำคัญที่สุดคือ lighting นั้น ไม่ว่าเห็นกี่ demo ก็จะดูแย่ๆ เหมือนโปรเจคปี 3 หรือนึกไปถึงโปรเจค NSC ของตัวเองสมัยก่อนพิกล

ที่มาโชว์เมื่อวาน ถ้าเป็นด้านเทคโนโลยีถือว่าเจ๋งมาก และคู่ควรกับเวที Apple ที่สุด การที่โมเดลขยับไปพร้อมกับฉากหลังลื่นไร้ที่ติโดยไม่ต้องใช้ marker แสดงว่ามือถือรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแม้ว่าโต๊ะที่มันมองจะไม่เห็นจุด reference แรกแล้วก็ตาม เป็นเรื่องที่ทำในมือถือไม่ได้ง่ายๆแน่ๆ

คือถ้าคิดแบบนั้นมัน “ใหม่” จริงๆ แต่ใหม่เฉพาะคนสนใจเทคโนโลยีไง คนส่วนใหญ่ยังเห็นแวบเดียวแล้วคิดว่า เหมือนจะเคยมีมาแล้ว (แต่ไม่ลื่นขนาดนี้ หรือไม่อยู่บนมือถือ)

ปัญหาที่เราต้องแก้ต่อไปคือ นำเสนอเกม AR ใหม่ที่เข้าถึงคนธรรมดาในด้านความสนุกจริงๆได้ เหมือนเรากำลังดู trailer เกมปกติ ไม่ใช่รู้สึกเหมือนกำลังดู trailer SIGGRAPH

โดเมนของมือถือคือ AR ไม่ใช่ VR และ ARKit/ARCore มาถูกทางแล้ว

ถ้าถามว่าชอบอะไรผมชอบ VR เพราะผมเป็นคนชอบสร้างโลก แต่ถ้าถามถึงความเป็นไปได้จากมือถือ ผมคิดว่า AR ทำได้ดีกว่า

คิดแบบนั้นเพราะว่าธรรมชาติของมือถือ คือการถือ VR ส่วนมากนิยามคือเปลี่ยน vision ของเราเองให้เป็นอย่างอื่น ผมคิดว่าท่า optimal ที่สุดของการใช้ VR คือ headset พวกแอพแบบถือๆแล้วเห็นโลกเปลี่ยนก็เลยไม่ค่อยมีใครจะเรียกว่า VR ได้เท่าไหร่ โปรเจคอย่าง Google Cardboard/Daydream มันก็มี แต่ adoption ไม่สามารถก้าวเลย AR ได้ในอนาคตแน่ๆ คนที่มีใช้ก็ใช้ที่บ้านไม่มีใครจะพกออกมา

พอคิดว่าเป็น AR ที่สามารถ “ควักออกมาเล่น” ได้เลย “ที่ไหนก็ได้” ก็เลยคิดว่ามันตรงกับ design ของคำว่ามือถือมากกว่า ทุกที่ทุกเวลาและพร้อมเสมอ

ผมเลยคิดว่าในอนาคตจะมีโซน AR ในแอพสโตร์ก็ไม่แปลก แต่โซน VR สงสัยจะยากครับ

เล่นแล้วดูตลก

การเดินรอบโต๊ะเล่นคนเดียวยังไงก็ยังดูตลกๆอย่างช่วยไม่ได้ ปัญหานี้ไม่ได้เล็กอย่างที่คิด ส่วนตัวผมคิดว่ามันเกิดขึ้นมาแล้วกับ Google Glass ที่ไม่ว่าจะโฆษณาให้หล่อยังไง เอาคนดังมาใช้ให้ดูเท่าไหร่ สุดท้ายมันก็ดู socially awkward และเป็นของที่ออกมาสู่สังคมไม่ได้ กลายเป็นของในห้องวิจัยอย่างเดียว

สังคมที่ว่ารวมถึง แค่อยู่ในห้องตัวเองคนเดียวด้วย ถ้าแค่เล่นคนเดียวก็เขินแล้วก็คงยาก เกมอย่าง DDR ก็ค่อนข้างเป็นเกมที่ทำให้เขินได้ แต่ด้วยการ simplify ของมัน ถึงผลสุดท้ายจะดูเหมือนกระทืบมากกว่าเต้นแต่ผมคิดว่ามันเป็นจุดนึงที่ทำให้ DDR ดู mass ขึ้นได้ อะไรทำนองนั้นที่เราอยากจะเพิ่มให้กับ AR

VR มีปัญหานี้ไม่มาก เพราะอย่างน้อยเราก็หันหน้าตรงตลอดหรือออกท่าทางนิดหน่อย

แต่กรณีของ AR ที่รู้สึกว่าโอเคก็มี อย่างเช่นแอพดูดาว ที่เราแหงนดูฟ้าแล้วหันไปมา อันนี้ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ “natural” หรือว่าแอพดูพิพิธภัณฑ์ที่เห็นเด็กหลายๆคนถือ iPad มาส่องเล่นด้วยกัน ก็รู้สึกว่า natural

หน้าที่ต่อไปของเราคือ หาว่าอะไรกัน คือ threshold ที่ทำให้หลุดไปเป็นแอพ AR ที่ awkward และเมื่อเราหาเจอ เราจะดีไซน์เกมให้อยู่ในด้านที่เล่นแล้วคนเล่นรู้สึกดี (ทางร่างกาย ประกอบกับทางที่เห็นของในจอ) ที่แน่ๆผมไม่ค่อยอยากเล่นเกมที่ต้องเดินส่องรอบโต๊ะ ถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษจริงๆ แต่ถ้าแอพดูดาว ผมรู้สึก “อยาก”

หรือว่าเราจะลืม AR บรรยากาศ

ธรรมชาติของ AR คือหลายๆแอพมีความพยายามรวมโลกแห่งความจริงเข้ามา ซึ่งจะเห็นได้กับพวกแอพดูดาว แอพเสกโมเดล อะไรงี้ต้องทำให้แสงหรืออะไรเข้ากับโลกจริง แต่เกมที่มาโชว์เนี่ย โต๊ะก็หายโดนทับหมด ของในเกมก็เสกมาใหม่หมดไม่ได้ interact กับโลกจริงยกเว้นการที่มันวางอยู่บนโต๊ะ คือ มันพยายามสร้างโลกใหม่คล้ายๆ VR นั่นแหละ

แล้วผมคิดว่ามันจะจริงกับ “the real AR game” ที่ยังไม่มีใครเคยทำได้ด้วย (คือเป็นเกมที่สนุกจริงๆไม่ใช่ของเล่นโชว์ technology) ปัญหาที่จะพูดคือ มันไปไม่สุดทาง จะทับแล้วมาแค่ครึ่งทางก็เลยดูแย่ สมมติถ้าใส่แสงให้ terrain ดูดีกว่านี้ เวลามองฟ้า (ที่เกมไม่ได้ทับ) ก็จะรู้สึกแปลก วิธีแก้ที่ผมคิดไว้คือ เราอาจจะต้อง AR บรรยากาศด้วยรึเปล่า เพราะส่วนมาก โลกแห่งความจริงไม่ได้สวยงาม แต่เกมเป็นดินแดนแห่งจินตนาการ

ถ้าเรา AR ท้องฟ้าด้วยเกมจะดูดีขึ้นได้มั้ย ถ้า AR จนหมดแบบนั้นเราจะเรียกมันเป็นเกม VR มือถือเลยดีกว่ามั้ย

คำถามตรงๆแบบสรุปก็คือ เราสามารถเหลืออะไรจากโลกแห่งความจริงไว้ได้บ้าง จาก demo ในงานผมรู้สึกว่ามีหลายๆอย่างที่เป็น noise กับเกม ไม่ใช่ experience แต่ถ้าเป็นของที่ไม่ใช่เกมอย่างแอพดูดาว การที่รอบๆเป็นท้องฟ้ามันเป็นสิ่งที่ควรหลุดเข้ามาใน app อยู่แล้ว เราสามารถคิดแบบนั้นกับเกมที่กำลังสร้างได้เหมือนกันมั้ย?

หรือว่าเพราะขาด narrative elements

เรายังไม่เห็นการใช้ cutscene หรือ scene transition เจ๋งๆใน AR เลย เพราะเรามี control ตลอดในเกม AR จนเราลืมไปแล้วรึเปล่าว่าความสนุกของเกม ส่วนนึงคือมันมีจุดที่คล้ายกับการ “ดูหนัง”

ทั้ง cutscene ต่างๆในเกม ยิ่งถ้า RPG ยิ่งสำคัญเพราะระบบต่อสู้จริงๆก็แค่กดโจมตีก็อาจจะจบเกมได้ ความสนุกของเกมอยู่ที่การได้เห็นตัวละครทำอะไรเท่ๆในมุมกล้องเท่ๆ เก่งขึ้นเรื่อยๆทั้งๆที่ก็ชนะมาตลอดอยู่ดี ได้เดินไปข้างหน้าท่องโลกแล้วได้เห็นเรื่องราวต่างหาก

หรือแม้แต่เกมแข่งรถที่ตอนเริ่มด่านมีซูมสนามให้ดู หรือลอยลงมาจากฟ้าก่อนที่เราจะเริ่มเล่น มันก็เป็นส่วนประกอบสำคัญ

ถ้าได้ดูงาน Apple เมื่อวาน จะเห็นว่าแม้แต่ตอนท้ายสุดที่มียานแม่บินมา ตรงนั้นมันเป็นจุดที่ปกติต้องเป็น cutscene ถ้าไม่มีโฆษกพูดใส่ไมค์ให้ฟัง แล้วผู้เล่นหันไปตรงนั้นพอดี attention ของเราจะไปที่จุดนั้นได้รึเปล่า

ในเกม AR ที่เราควบคุม viewport ได้ตลอดเวลา เราลืมอะไรไปรึเปล่า?

ที่แน่ๆตอนนี้ยังไม่มีใครทำได้

เหมือน millenium puzzle ของจริงเลยก็ว่าได้ คือคิดว่าโลกกำลังรอ AR game that works อยู่ ยังจำยุค Angry Birds ที่เกม 0.99–1.99 ขายได้อย่างเป็นธรรมชาติมั้ย อันนั้นผมมาไม่ทัน ตอนนั้นยังนั่งเรียนอยู่ปี 2–3 อยู่เลย

อีกระลอกนึงก็ยุค free game +energy system ที่มีแต่ บ. สเกลใหญ่ที่จะทำเกมเป็น service ได้ที่จะคว้าโอกาสได้ อันนี้ บ. ธรรมดาๆก็อาจจะเอื้อมถึงได้บ้าง

แล้วยุคต่อมาก็ยุค management game + upgrade/fusion + gashapon + collectible unit with rarity ที่ยิ่งอัพเลเวลความใหญ่ของ บ. ที่ทำได้ขึ้นไปอีก ที่จะทำเกมที่ดูมีเครดิตพอ (ทั้งทางบริษัท และ IP) ที่คนจะอยาก “เข้ามาอยู่” และ invest กับเรา (Granblue, LLSIF, FGO, etc.) ความรู้สึกไม่ต่างกับการเลือกเล่น MMO เกมนึงเลย

แต่อันนี้ผมมาทัน และเห็นมันอยู่ตรงหน้าแล้ว และก็คิดว่ายังไม่ถึงขั้นต้องมีความยิ่งใหญ่ก็ลองทำได้เหมือนสมัย Angry Birds คิดว่าถ้าจะลองก็คงต้องเป็นจังหวะนี้ ว่าข้างหน้าจะเป็น gold rush หรือว่าจะไม่มีอะไรกันแน่ จะปล่อยให้ยุคใหม่นี้หลุดลอยไปแล้วเสียดายทีหลังเหมือนตอนนั้นก็คงจะไม่ดี

ถ้ารอไปอีกซักพักแล้วมันมาจริงๆ ต่อไปอาจจะเข้ายุค AR ที่ต้องฟรีด้วย ต้องโน่นนี่นั่นด้วยซ้ำรอยเดิม แล้วก็จะพลาดโอกาสอีกทีก็ได้ (แต่ก็อาจจะไม่เป็นงั้นก็ได้ ไม่รู้สิ)

หรือว่า AR game that works จะไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรกแล้ว? อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ!

เมื่อวานชวนเพื่อนมาทำเกมที่ห้องด้วยกันนานๆที กลายเป็นอยู่ยาวดูงาน Apple ด้วยกันเฉยเลย