Workplace : การเปลี่ยนที่

ทำงาน freelance มา 1 ปีกว่าแล้วรู้สึกว่า perk นันทนาการอย่างเครื่องเกมหรือกีฬาที่เดี๋ยวนี้ บ. สมัยใหม่ต่างๆเอามาเป็นจุดขายให้คนสมัครงาน คงไม่ค่อยอยากได้เท่าไหร่ครับ รู้สึกไม่ค่อยมีผล แต่ที่คิดว่ามีผลมากจริงๆคือการย้ายที่ เปลี่ยนท่าได้ กับเปลี่ยนอุณหภูมิรอบตัวได้

ถ้าอยู่ห้องจะชอบที่สลับไปนอนพิมพ์โปรแกรมบนโซฟา บนเตียง แล้วกลับมาโต๊ะได้โดยไม่ต้องเกรงใจใครครับ (ไม่ดูขี้เกียจไม่แคร์ใครเพราะทำอยู่คนเดียว) ได้พักหลังแล้วสมองแล่นดี ถ้ามุมพักผ่อนจะชอบแบบหอบงานไปทำได้ คืออาจดูเหมือนไม่ได้พักผ่อนแต่ถ้างานชอบความเฉื่อยมันไม่ได้มาจากตัวงานอยู่แล้ว มาแก้ไขที่สภาพแวดล้อมก็ทำให้เหมือนพักผ่อนทั้งๆที่ไม่ได้หยุดงาน

แล้วก็ไปร้านกาแฟแทบทุกวันได้รู้ข้อดีต่างๆของร้าน ที่มีผลมากๆคือเพดานกว้างๆ รู้สึก ambient โล่งแล้วงานเดินดี เปิดหรือไม่เปิดเพลงก็ได้ อยู่ห้องเล็กๆเพดานต่ำๆแล้วมันรู้สึกเศร้า อากาศนิ่งๆ เฉื่อย อันนี้ทำให้ drive ตัวเองยากขึ้นมากก็เลยต้องออกมาจากห้อง ห้องตัวเองเอาไว้พักผ่อนจะดีที่สุด แต่ก็ทำงานแบบนั้นมาได้ 3 เดือน มันก็พอได้ แต่ไม่ดีที่สุด

แล้วก็ออกนอกห้อง (หรือเปลี่ยนที่ ไปไหนก็ตาม) ทำให้เลิกงานยากขึ้น อยู่ห้องตัดสินใจเลิกทำง่ายเกินไป บางทีอยู่ใน flow แล้วไม่อยากออกก็ต่อไปเรื่อยๆแล้วบางทีคืนนั้นได้งานมากกว่าเช้าถึงบ่ายรวมกันของวันถัดไปอีก ทำงานชดเชยแล้วตื่นสายๆได้เลย สมัยอยู่ออฟฟิศรู้สึกว่าพอถึงเวลาเลิกงานแล้วบรรยากาศมันหยุดทันที แต่ตอนนี้ทำงานร้านกาแฟมันรู้สึกไปข้างหน้าเรื่อยๆได้เท่าที่อยาก ชอบร้านกาแฟที่มีตัวแปรที่เราควบคุมไม่ได้น้อยมาก มีแค่ปิดร้านกับหิว ใช้เทคนิคย้ายที่ บางวันทำแบบ ห้อง -> สวน -> KFC -> ร้านกาแฟ -> สวน -> ห้อง แค่ย้ายไปย้ายมาแต่ไม่ได้หยุดทำงาน ก็รู้สึกหายเหนื่อยได้ครับ (แล้วก็ กลางคืนหลับสบายขึ้น เดินเยอะ)

แล้วก็อีกอย่างที่เกี่ยวกับการย้ายที่คือการที่ควบคุมอุณหภูมิได้ตามใจ ถ้ามีลมก็อาจจะปิดแอร์หรือไปนั่งสวนข้างล่าง เช้าๆไม่มีแอร์อาจจะรู้สึกดีกว่า ตอนสายบางทีไปร้านกาแฟก็ตั้งใจเลือกที่นั่งที่แดดเข้าตรงๆเพราะอยากโดดแดดแต่ตัวอยู่ในห้องแอร์ ฟินมาก ถ้าอยู่ห้องพอร้อนมากแล้วค่อยปิดพัดลมมาเปิดแอร์จะรู้สึกดีกว่าเปิดตลอด ฯลฯ พอมี dynamic แล้ว รู้สึกความซังกะตายมันลดลง

เรื่องเปลี่ยนท่า สิ่งที่เกิดบ่อยๆคือเวลาหาบัคนานๆแล้วเริ่มเจอเบาะแส พอเลือดร้อนแล้วบางทีก็ลุกออกจากโต๊ะไปนอนคว่ำแก้บัคบนเตียง ถ้ายังไม่ได้บางทีก็มานั่งท่าชันเข่าแก้บนโซฟาต่อ หรือมายืนพิมพ์เป็นแบบ standing desk บ้างก็มี เทียบกับนั่งโต๊ะตลอดรู้สึกว่าแบบนั้นชอบเหลวไหล เล่น social โน่นนี่บ่อยไป มีที่ทางให้ทำแอคชั่นอะไรบ้างแล้วโอเคกว่าครับ (แต่ทำแบบนั้นที่ที่ทำงานปกติ อาจจะดูตลก) ถ้าคิดว่าทำงานในออฟฟิศเป็นล็อคๆแบบในหนังญี่ปุ่นแล้วทำแบบนี้ไม่ได้ คงแย่เลย

แล้วก็การมีกระจกที่เห็นท้องฟ้าข้างนอกผมว่าเป็นสิ่งที่ดีมากครับ ออฟฟิศที่เป็นห้องปิดไม่รู้ว่าข้างนอกเป็นไงจนกว่าจะออกไปดู อยู่แล้วรู้สึก no life ในร้านกาแฟมีสภาพเป็นแบบนี้อยู่แล้วถึงได้ชอบ

เคยทำงานในห้องปิด มีหน้าต่างอยู่ แต่คนที่นั่นไม่ชอบเปิดกัน ถึงเปิดก็เจอกำแพงตึกข้างๆแต่อย่างน้อยก็เห็นสีของแสงข้างนอก ทำแล้วรู้สึกมีส่วนนึงในใจที่ห่างออกจากความเป็นมนุษย์ ขนาดนั้นเลยนะ รู้สึกประมาณว่ามาที่ทำงานเพื่อทำแค่งานจริงๆ ไม่ใช่รู้สึกว่ากำลัง “living” ด้วย (แต่ก็ประมาณ 2–3 เดือนถึงเริ่มรู้สึก) การรู้สึกมีชีวิตอยู่นี่มันสำคัญนะครับผมว่า เพราะเป็นแบบนั้นแล้วรู้สึกว่าวันธรรมดา 5 วัน “มีแค่ตอนกลางคืน” เป็นแบบนั้นคูณเข้าไปกี่เดือนกี่ปี ชีวิตเราจะหายไปแค่ไหน?

ใครจะไปรู้ว่าการทำงานแล้วรู้สึกชีวิตหาย อาจจะแค่เพราไม่มีหน้าต่าง! แค่นี้เอง ไม่ใช่เพราะว่าเราเอาเวลาที่อยากทำสิ่งที่อยากทำมาทำงานหาเงิน อย่างที่ชอบคิดไปเอง… บางทีถ้าเราเลิกทำเกมไปเข้า SCB แล้วเลือกที่นั่งที่มีหน้าต่าง อาจจะรู้สึกชีวิตเติมเต็มเหมือนกันก็ได้นะ (555)

จากการนั่งคิดดูครั้งนี้ก็ได้รู้ว่าร้านกาแฟมันไม่ได้มี magic ที่ noise เบาๆพอเหมาะ (ที่ๆไปดังมากไม่ก็เงียบเลย) ไม่ได้มี magic ที่ความสบาย (ที่ๆไปพิงหลังไม่ได้ นั่งก็ไม่ใช่โซฟา) ไม่ใช่ที่คาเฟอีน หรือกลิ่นกาแฟเสมอไปครับ ผมว่าเรื่องสถานที่นี่แหละสำคัญ

ปล. ถ้าใครสนใจเรื่องพวกนี้เพิ่มเติม ไปศึกษา environmental psychology ดูได้ครับ

Environmental psychology - Wikipedia
Environmental psychology is a direct study of the relationship between an environment and how that environment affects…en.wikipedia.org

แล้วก็ Workplace ตอนที่แล้ว

Workplace : ความสงบในการทำงานคืออะไร
อันนี้เป็นผลวิจัยส่วนนึงเรื่องที่ทำงานที่รู้สึกว่าเวิร์ค ที่รวบรวมไว้ ไม่ได้สรุปชัดเจน แต่จดไว้ศึกษาตัวเองทีหลังgametorrahod.com